![]() |
อะคริลิค |
2. ขนาดของเคส มีส่วนสำคัญคือ ถ้าเคสที่มีขนาดเล็กส่วนมาก การระบายความร้อนจะไม่ค่อยดี ทำให้อุปกรณ์ภายในเคสนั้นมีอุณหภูมิสูง ส่งผมให้อุปกรณ์นั้นๆ มีอายุการใช้งานสั่นลง หรือทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ซึ่งถ้าเคสใหญ่ๆ ถึงแม้จะทำจากเหล็กแต่ถ้าระบายความร้อนได้ดีก็น่าใช้ อาจจะมีข้อเสียตรงที่ว่าเวลาเคลื่อนย้ายค่อนข้างลำบากเพราะมันหนักมากๆ นั่นเอง T T ฉะนั้นเวลาเลือกควร เลือกเอาแค่พอดีกับอุปกรณ์ที่เราจะใส่เข้าไปหรืออาจจะเผื่อให้อุปกรณ์ที่เราจะซื้อใส่ในอนาคตด้วยก็พอ
3. ความสวยงาม น่าใช้ น่าทะนุถนอม น่าค้นหา น่าภูมิใจ 555+ ส่วนมากเวลาที่ผมเลือกซื้อ Case จะเลือกจากข้อนี้ก่อนแล้วค่อยไปดูข้อแรกกับข้อสองครับ ซึ่งอันนี้ก็แล้วแต่ความชอบส่วนบุคคล
Monitor หรือ จอภาพครับ
2. สัดส่วน (Aspect Ratio): สัดส่วนของ Monitor ในปัจจุบันมีให้เลือกทั้งแบบ 4:3, 5:4, 16:10 และ 16:9 คุณควรเลือกสัดส่วนจอโดยคำนึงถึงประเภทของงาน และ content ที่จะแสดงบนจอเป็นหลัก ปัจจุบันนี้จอ LCD สัดส่วนแบบ 16:9 กำลังเป็นที่นิยม เพราะมีสัดส่วนเดียวกับภาพยนตร์จอกว้าง ทำให้สามารถแสดงภาพยนตร์จอกว้างได้โดยไร้ขอบดำด้านบน-ล่าง ของจอ แต่ถ้าคุณคำนึงถึงพื้นที่ใช้สอยเป็นหลัก อาจพิจารณาจอแบบ 16:10 เพราะพื้นที่ในแนวตั้งที่มากขึ้นจะช่วยลดภาระในการลากเม้าส์เพื่ออ่านเอกสาร/เว็บเพจยาวๆ ได้
3. ความละเอียด (Native Resolution): ความละเอียดที่ Monitor สามารถแสดงได้ มีหน่วยเป็นพิกเซล ซึ่งมีให้เลือกหลาย resolution ด้วยกัน เช่น 1,400 x 900, 1,600 x 900, 1,680 x 1,950, 1,920 x 1,080, 1,920 x 1,200 เป็นต้น สำหรับ resolution ที่ได้รับความนิยมกับจอ 21.5″-23″ แบบ 16:9 ได้แก่ขนาด 1,600 x 900 หรือ 1,920 x 1,080 (Full HD) จอ LED, LCD Monitor จะทำงานได้ดีที่สุดต่อเมื่อ คุณป้อนสัญญาณที่มีความละเอียดตรงกับ native resolution ของมันเท่านั้น ดังนั้นหากคุณต้องการเลือกจอไปใช้สำหรับการเล่นเกม ควรเลือกจอที่มี resolution ที่สัมพันธ์กับขีดความสามารถของการ์ดจอของคุณด้วย
4. Contrast Ratio: คืออัตราส่วนของสีขาวที่สว่างที่สุด กับสีดำที่มืดที่สุด ตัวเลขที่สูงกว่าแสดงถึงความสามารถในการไล่ความสว่างของเฉดสีต่างๆ ได้หลายระดับมากขึ้น ทำให้มองเห็นรายละเอียดต่างๆ ในภาพชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะรายละเอียดต่างๆ ของภาพในหนัง/เกมในฉากมืดๆ ปัจจุบัน Native contrast ratio ของ LED, LCD monitor อยู่ที่ประมาณ 600:1 ถึง 1,000:1 (ทางผู้ผลิตจะไม่นิยมบอกกัน) Dynamic Contrast Ratio: เนื่องจากหลอด backlight (หลอดไฟที่ช่วยทำให้เม็ดสีของจอ LED, LCD เรืองแสง) ของ LED, LCD monitor ในปัจจุบันสามารถปรับระดับความสว่างตามลักษณะของ content ที่แสดงอยู่บนจอ ณ ขณะนั้นได้ ทั้งนี้เพื่อให้นำมาซึ่ง Contrast Ratio ที่สูงขึ้น พูดง่ายๆ คือ Dynamic Contrast Ratio เป็น Contrast Ratio สูงสุดที่จอสามารถทำได้ โดยตั้งอยู่บนสมมติฐานอย่างใดอย่างหนึ่ง ผู้ผลิตส่วนใหญ่ในปัจจุบันจึงมักทำตลาดจอของตนด้วยตัวเลข Dynamic Contrast Ratio แทนการใช้ Native Contrast Ratio ซึ่งปัจจุบันมีตั้งแต่ 10,000:1 ไปจนถึง 5,000,000:1, 12,000,000:1 เลยก็มี
5. Response Time: เป็นระยะเวลาที่เม็ดสีบนจอ LCD ใช้ในการเปลี่ยนสถานะจากสีหนึ่งไปยังอีกสีหนึ่ง ฉะนั้นยิ่งตัวเลข response time น้อย ยิ่งหมายถึงการแสดงภาพเคลื่อนไหวที่เป็นธรรมชาติ ไร้เงา (ghosting) มากขึ้น
6. Brightness: ความสว่างของจอ LED, LCD ในปัจจุบันจะอยู่ที่ 250 ? 500 cd/m2 (candela per square meter ? แรงเทียนต่อตารางเมตร) หากคุณต้องการนำจอไปวางไว้ในห้องที่สว่างมากๆ อาจต้องพิจารณาจอที่มีความสว่างมากขึ้น หรืออาจเลือกจอที่สว่างมากๆ เอาไว้ก่อน แล้วค่อยปรับให้สว่างน้อยลงตามสภาพแสงในห้องของคุณก็ได้
7. View Angle: มุมมองการรับชมของจอในแนวตั้งและแนวนอน ปัจจุบันจอส่วนใหญ่จะอยู่ที่ประมาณ 170/170 หรือมากกว่า (170 องศาในแนวตั้ง และ 170 องศาในแนวนอน) ซึ่งตัวเลขนี้เป็นตัวบอกจุดทำมุมสูงสุดที่คุณสามารถรับชมภาพจากจอได้โดยที่สีและความสว่างไม่เพี้ยน (เช่นมองจากด้านข้างทำมุมสูงสุดได้ 170 องศาโดยที่สีและความสว่างไม่เพี้ยน เป็นต้น) เนื่องจากLCD monitor ถูกออกแบบมาให้ใช้กับคอมพิวเตอร์ (ซึ่งต้องมองตรงๆ) เป็นหลัก คุณจึงไม่ควรกังวลกับตัวเลขนี้มากเกินไปนัก
8. Connectivity Interface: Monitor ในปัจจุบันส่วนใหญ่จะมาพร้อมกับพอร์ท VGA (หรือ D-Sub) และพอร์ท DVI ซึ่งพอร์ท DVI นั้นจะให้ภาพที่มีคุณภาพดีกว่า เนื่องจากเป็นการเชื่อมต่อแบบดิจิตอล ส่วน VGA เป็นพอร์ทอนาล็อกแบบเก่าซึ่งใช้กันอย่างกว้างขวางทั้งใน PC/Notebook คุณจึงควรเลือก Monitor ที่มีพอร์ททั้งสองประเภท เพื่อความยืดหยุ่นในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ หรืออาจเลือกจอที่มีพอร์ท HDMI ไปเลยก็ได้ หากคุณต้องการนำไปเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีพอร์ท HDMI อย่าง Playstation 3
9. Special Feature: คุณสมบัติอื่นๆ ในปัจจุบันนี้ก็ทางผู้ผลิตก็ต่างใส่เข้ามาใน Monitor เพื่อทำการแข่งขันกันอย่าง USB Hub, Webcam, Touch Screen, TV Tuner, 3D เป็นต้น ซึ่งส่วนนี้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่อำนวยความสะดวกและตอบสนองความต้องการของเราได้ ขอแนะนำว่า ควรเลือกในสิ่งที่เราต้องการใช้งานจริงๆ เพราะคุณสมบัติเหล่ามันทำให้ราคาของ Monitor เอง มีราคาที่สูงขึ้นตามไปด้วย
คีย์บอร์ด
การจะเป็นนักเลงคีย์บอร์ดได้นั้นต้องเกรียน เอ้ยไม่ใช่ การเลือกซื้อคีย์บอร์ดนั้นไม่ยากครับ
ซึ่งคีย์บอร์ดก็มีหลายราคาเช่นกันครับ ตั้งแต่ ร้อยกว่าบาทถึงพันปลายๆ ซึ่งแล้วแต่เทคโนโลยีการผลิตครับ แล้วเวลาจะซื้อเราต้องรู้อะไรเกี่ยวกับคีย์บอร์ดมั่ง
1. คือการรองรับสรีระของผู้ใช้
![]() |
Qwerty |
![]() |
Natural |
2. รูปแบบของคีย์บอร์ด จะมีอยู่ 2 แบบคือ Qwerty และ Natural ซึ่งส่วนมากจะนิยมใช้แบบ Qwerty มากกว่าอาจจะเป็นเพราะชินกันแล้วก็ได้
3. การตอบสนองของปุ่มกด ควรเลือกซื้อที่มีระบบสัมผัสและตอบสนองได้เร็ว
4. การเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งปัจจุบันนิยมใช้หัวแบบ Usb พอร์ต เพราะสะดวกสามารถเสียบได้ทันทีไม่ต้องรีสตาร์ทเครื่องเหมือนหัวต่อแบบเก่า หรือจะเลือกแบบ Wireless ไร้สาย ซึ่งสะดวกกว่าเพียงแต่ว่าราคาค่อนข้างแพง
เหมือนจะลืมอุปกรณ์อะไรไปสักอย่างครับ
ไว้จะมาแนะนำต่อใน Episode ต่อไปครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น